เอชไอวี กับ เอดส์ ต่างกันและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

เอชไอวี กับ เอดส์ แตกต่างกันและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

เอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ประกอบไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวหลากหลายชนิด มีกลไกที่ทำหน้าที่ป้องกันและต่อต้านอันตรายจากการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอม เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า CD4 เป็นเป้าหมายของเชื้อเอชไอวี และเมื่อเซลล์เหล่านี้ถูกทำลายผู้ติดเชื้อจะมีร่างกายที่อ่อนแอลงจนติดเชื้ออื่นๆ ตามมาได้ง่าย

เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome : AIDS) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นระยะสุดท้ายของผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี เชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย  ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส  ซึ่งทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ และอาการอาจจะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

เอชไอวีติดต่อได้ 3 ช่องทาง 

  • ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • ผ่านทางเลือด
  • จากแม่สู่ทารกในครรภ์

เอชไอวีมีทั้งหมด 3 ระยะ

เอชไอวี มีทั้งหมด 3 ระยะ

ระยะแรกคือ ระยะที่ติดเชื้อเฉียบพลัน ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ จะมีอาการ มีไข้ ปวดศรีษะ และมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ช่องปาก จมูกและเปลือกตา ไวรัสสามารถแพร่ในร่างกายได้ในระยะนี้อย่างรวดเร็ว และไวรัส เอชไอวี จะทำลายเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า CD4

ระยะที่สองคือ ระยะสงบทางคลินิก ผู้ที่ติดเชื้ออาจไม่มีอาการของการติดเชื้อเลย โดยระดับเชื้อไวรัสเอชไอวี ในระยะนี้จะมีปริมาณที่ต่ำกว่าระยะแรก ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี สามารถอยู่ในระยะนี้ได้เป็นเวลายาวนานถึง 10 ปี หรือมากกว่านั้นหากมีการรักษาด้วยยาอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สามคือ ระยะสุดท้าย เป็นระยะที่รุนแรงที่สุด เรียกว่าเป็นโรคเอดส์ ระยะนี้เกิดจากการที่เชื้อไวรัส  ได้เข้าทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนทำให้ร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถป้องกันและต่อสู้การติดเชื้ออื่นๆ ได้ เสี่ยงต่อการเสียชีวิต เนื่องจากอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ

ผู้ป่วยเอชไอวีมี CD4 เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี จากการตรวจวัด CD4 จะอยู่ที่ระดับน้อยกว่า 200  ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัส จะทำให้ค่า CD4  เพิ่มขึ้นตามลำดับ และจะเริ่มคงที่อยู่ที่ระดับ 500 – 600 ตามแต่สภาพทางร่างกายของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีร่างกายปกติ การรับประทานอาหารให้ครบ  5 หมู่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้

เอชไอวี กับ เอดส์ แตกต่างกันอย่างไร ?

เอชไอวร คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเอดส์ หมายความว่าเอดส์ เป็นเพียงอาการของผู้ที่ติดเชื้อ เอชไอวี และไม่ได้รับการรักษาเท่านั้น จึงจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ในตอนท้าย ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ติดเชื้อเอชไอวี จะเป็นโรคเอดส์เสมอไป

สิทธิประโยชน์ผู้ป่วย เอชไอวี กับ เอดส์

  • สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (UCS)
  • สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (OFC)
  • สิทธิประกันสังคม (SSS)

เอชไอวี ป้องกันได้อย่างไร

เอชไอวี ป้องกันได้อย่างไร ?

  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ก่อนสมรส หรือมีลูก ควรมีการตรวจเลือด
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • ตรวจเอชไอวีเป็นประจำ

การรักษาเอชไอวี

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเชื้อเอชไอวีให้หายขาด แต่มียาต้านไวรัสเอชไอวี หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาได้เร็ว กินยาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีนี้ไปยังผู้อื่นได้ด้วย

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ขอบคุณข้อมูล : lovecarestation, thaihiv365

สรุปคือ ระยะแรก ระยะที่สอง ของการติดเชื้อเอชไอวี ยังไม่ถือเป็นโรคเอดส์ ส่วนระยะที่สาม (ระยะสุดท้าย) ของการติดเชื้อเอชไอวี จะเรียกว่าโรคเอดส์

Search