ความสำคัญของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่ผลิตจากยางธรรมขาติ โพลียูรีเทน หรือลำไส้ลูกแกะ ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมใช้แบบที่ทำจากยางธรรมขาติ โพลียูรีเทนมากกว่า หากใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี โอกาสในการตั้งครรภ์ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ราว 2% เท่านั้น แต่หากเป็นการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ถูกต้อง จะเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้มากถึง 18%

ถุงยางอนามัยคือ?

Table of Contents

ถุงยางอนามัย (Condom) มาจากภาษาละติน แปลว่า ภาชนะที่รองรับ ทำด้วยวัสดุจากยางพารา หรือโพลียูรีเทน โดยฝ่ายชายเป็นฝ่ายใช้สวมครอบอวัยวะเพศของตนเอง  และเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้เป็นอันดับต้นๆ สำหรับช่วยป้องกันการคุมกำเนิด และช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

ซึ่งปัจจุบันมีการผลิต และพัฒนาถุงยางอนามัยออกสู่ตลาดจำนวนมาก ในหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งที่มีสีสัน ผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ มีกลิ่น และรสผลไม้ รวมทั้งมีรูปทรงที่แปลกตามากขึ้น ซึ่งแต่ละแบบเน้นวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

ทำไมจึงต้องใส่ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์

เพราะ ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ อย่างหนึ่งที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิด หรือเพื่อป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หูดหงอนไก่ เชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นต้น  ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัย ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ซึ่งสามารถป้องกันได้มากถึงร้อยละ 98%

แนะการใช้ถุงยางอนามัย 4 ขั้นตอน เลือก เก็บ ใช้ ทิ้ง ที่เราทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • เลือก ให้ถูกไซส์ ถุงยางอนามัยมีหลายขนาด ตั้งแต่ ขนาด 49 มิลลิเมตร ขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาด 54 มิลลิเมตร และ ขนาด 56 มิลลิเมตร รวมถึง กลิ่น สี มีหลายแบบให้เลือก ดังนั้น ควรเลือกใช้ขนาดที่เหมาะสม หากเลือกขนาดเล็กหรือใหญ่ไป จะทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาด หรือหลุดได้ง่าย  นอกจากนี้ต้องตรวจดูวันผลิต หรือวันหมดอายุก่อนทุกครั้ง และได้มาตรฐาน อย. วิธีวัดขนาดง่ายๆ ให้เริ่มจากวัดเส้นรอบวงของอวัยวะเพศเมื่อแข็งตัว แล้วหารด้วย 2 จะได้ขนาดที่พอดี เช่น เส้นรอบวง 10.6 เซนติเมตร ให้หารด้วย 2 ผลลัพธ์ที่ออกมาเท่ากับ 5.3 เซนติเมตร ถุงยางอนามัยที่สามารถใช้ได้ก็คือขนาด 52 หรือ 54 มิลลิเมตร
  • เก็บ ให้ถูกวิธี การเก็บถุงยางอนามัย ถือเป็นขั้นตอนสำคัญเช่นกัน คือ ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยในที่มีความชื้นสูง หรือในที่ร้อน เพราะความร้อนจะทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพ ไม่ควรเก็บไว้ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น กระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะทำให้ฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งเกิดจากการนั่งทับ ทางที่ดีควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในจุดที่สามารถหยิบใช้งานได้ง่าย และสะดวก
  • ใช้ ให้ถูกวิธี เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทุกครั้ง ทุกคน ทุกช่องทาง อันดับแรกให้ฉีกซอง แบบระมัดระวังอย่าให้เล็บสะกิดถุงยางอนามัย เพราะอาจจะทำให้ฉีกขาดได้ จากนั้นให้บีบปลายถุงยางอนามัยเพื่อไล่ลมก่อนใส่เสมอ หากมีฟองอากาศที่ปลายถุงยางอนามัยจะทำให้ฉีดขาดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ สุดท้ายให้สวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว โดยบีบปลายถุงยางอนามัยขณะสวมแล้วรูดให้สุดโคน         
  • ทิ้ง ให้ปลอดภัย ขั้นตอนสุดท้ายแต่สำคัญที่สุด เมื่อเสร็จกิจให้รีบถอดถุงยางอนามัยออกตอนที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ โดยใช้นิ้วสอดเข้าในขอบถุงยางอนามัย หรือใช้กระดาษทิชชู่ห่อแล้วรูดออก จากนั้นทิ้งลง ถังขยะให้มิดชิด ไม่ควรทิ้งลงชักโครก หรือในแม่น้ำ ลำคลอง เด็ดขาด

ชนิดของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยที่มีการผลิตจำหน่ายมี 3 ชนิด โดยแบ่งตามวัสดุที่ใช้ ได้แก่

1) ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom)

วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียกว่า caecum มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างตั้งแต่ 62 – 80 มิลลิเมตร สวมใส่ไม่รัดรูปแต่ไม่สามารถยืดตัวได้ ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์ สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ แต่ในประเทศไทยไม่มีการผลิตจำหน่าย เนื่องจากมีราคาสูง

2) ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom)

ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติมีราคาถูก มีความบางและยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ ขนาดความกว้างน้อยจึงน้อยกว่า เวลาสวมใส่ให้ความรู้สึกกระชับรัดแนบเนื้อ และสามารถใช้ได้ทั้ง เพื่อการคุมกำเนิด และป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 

ถุงยางชนิดนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นประเภทที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้ เพราะจะทำให้โครงสร้างของน้ำยางเสื่อมลง ส่งผลต่อคุณภาพและการป้องกัน แต่ใช้ได้กับสารหล่อลื่นชนิดที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก (water-based lubricant)

3) ชนิดที่ทำจาก Polyurethane หรือ Polyisoprene (ถุงยางพลาสติก)

ปัจจุบันมีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane ถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดี เหนียวกว่า ทนต่อการฉีกขาดกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวแพ้ยางพารา สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม หรือน้ำมันหล่อลื่นผิวหนัง พวก Mineral oil ได้  และที่สำคัญคือสามารถทำให้บางได้ถึง 01 มิลลิเมตร ทำให้รู้สึกเสมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย (feels like not wearing anything) แต่ราคาอาจสูงกว่าแบบน้ำยางพารา

ขนาดของถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับแต่ละคน สามารถสังเกตตัวเองได้เมื่ออวัยวะเพศมีการแข็งตัวเกิดขึ้น โดยทั่วไปจะขยายได้ใหญ่กว่าเดิม 3-5 เท่า การแข็งตัวเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อคล้ายฟองน้ำเป็นลำยาวตลอดองคชาตที่เรียกว่า corpora cavernosa เริ่มเต็มไปด้วยเลือดที่ถูกสูบฉีดมาหล่อเลี้ยง เมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ

การเลือกขนาดถุงยางอนามัย ควรเลือกให้พอดี ไม่หลวม หรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ฉีกขาดง่าย หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ 

โดยขนาดความกว้างตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56 มิลลิเมตร และความยาววัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิดไม่รวมส่วนที่เป็นติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990

 

วิธีการวัด จะวัดจากเส้นรอบวงองคชาต ไม่ใช่ความยาว เพราะถุงยางอนามัยเกือบทุกยี่ห้อ จะทำความยาวมาเท่า ๆ กัน คือประมาณ 6-7 นิ้วเท่านั้น ใครที่มีอวัยวะเพศที่ยาวกว่านี้ก็อาจไม่สามารถครอบได้หมด ถุงยางอนามัย จะบอกเส้นรอบวงเป็นมิลลิเมตร ดังนี้

  • ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 11-12 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว) คือ ถุงยางอนามัยที่มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น สามารถวัดความกว้างจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่งได้ 49 มิลลิเมตร และมีความยาวไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร
  • ถุงยางอนามัยขนาด 52 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 12-13 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว) คือ ถุงยางอนามัยที่มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น สามารถวัดความกว้างจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่งได้ 52 มิลลิเมตร และมีความยาวประมาณ 180 มิลลิเมตร
  • ถุงยางอนามัย ขนาด 54 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 13-14 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว) คือ ถุงยางอนามัยที่มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น สามารถวัดความกว้างจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่งได้ 54 มิลลิเมตร และมีความยาวประมาณ 190 มิลลิเมตร
  • ถุงยางอนามัยขนาด 56 มิลลิเมตร (เท่ากับ เส้นรอบวงองคชาต 14-15 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 6 นิ้วขึ้นไป)คือ ถุงยางอนามัยที่มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น สามารถวัดความกว้างจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่งได้ 56 มิลลิเมตร และมีความยาวประมาณ 214 มิลลิเมตร

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย ควรเลือกตามวิธีดังนี้

  • ควรอ่านฉลากก่อนซื้อทุกครั้ง เพราะการอ่านฉลากเพื่อให้ได้รู้ว่าสินค้าตัวนั้น ๆ ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ รวมถึงข้อมูลด้านอื่น ๆ เช่น วันหมดอายุ หรือ ต้องใช้ก่อนวันที่เท่าไหร่ เป็นต้น
  • การเลือกประเภทของถุงยาง สำหรับในประเทศไทยโดยทั่วไปเราจะสามารถพบเห็นขนาดของถุงยางอนามัยที่วางขายในขนาด 49 มม. 51 มม. และ 52 มม. ซึ่งการเลือกซื้อเพื่อมาใช้งานควรเลือกขนาดของถุงยางให้เหมาะสม เพื่อให้การป้องกันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • การบรรจุ และการจัดวางสินค้า ก่อนซื้อเราควรตรวจดูว่ากล่องที่บรรจุถุงยางอนามัยชำรุด หรือฉีกขาดบ้างหรือไม่ เพราะตัวสินค้าภายในอาจมีความชำรุด ซึ่งไม่ควรนำมาใช้งาน นอกจากนี้ตัวสินค้ายังต้องถูกเก็บรักษาให้พ้นจากแสงแดดอีกด้วย 
  • ในปัจจุบันมีการผลิตถุงยางในรูปแบบต่าง ๆ มากมายเพื่อให้เลือกใช้งาน แต่ยังมีอยู่หลายแบบที่ไม่ได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากคณะกรรมการอาหารและยา เราจึงควรคำนึงถึงจุดนี้ให้มาก ๆ เพราะแทนที่จะได้รับความปลอดภัยจากการมีเพศสัมพันธ์อาจจะได้รับอันตรายแทนได้

ขั้นตอนการใส่ถุงยางอนามัยให้ถูกวิธี

ทั้งเพศหญิง และเพศชาย ควรมีความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการใส่ถุงยางอนามัยให้ถูกวิธี ทั้งนี้เมื่อต้องใช้งานจริงจะทำให้ไม่เกิดปัญหาการใช้ถุงยางอนามัยที่ผิดวิธี และส่งผลให้การป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ผล

  • ฉีกซองถุงยางอนามัยออกมาแล้วเลือกด้านที่ถูกต้อง โดยเลือกด้านที่มีกระเปาะไว้ด้านนอก ใช้นิ้วมืออีกข้างบีบบริเวณหัวของถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศ
  • แน่ใจก่อนว่าอวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่แล้วก่อนที่จะสวมถุงยางอนามัย เมื่อสวมแล้วรูดถุงยางอนามัยลงมาจนสุด เพื่อป้องกันการหลุดออกในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
  • ก่อนสอดใส่ตรวจดูให้แน่ใจว่าถุงยางอนามัยไม่ชำรุด ปลายถุงยางอนามัยไม่มีรอยรั่วหรือแตกออก บริเวณขอบที่รูดลงมาไม่มีรอยฉีกขาด
  • เมื่อเสร็จกิจแล้วควรถอดถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ เพื่อไม่ให้มีการหกเลอะเทอะ โดยใช้มือดึงออกจากส่วนโคนก่อน ดึงออกอย่างระมัดระวัง และอาจจะใช้กระดาษชำระห่อก่อนนำไปทิ้ง
  • ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์ในยกต่อไป ควรทิ้งถุงยางอนามัยอันเก่าแล้วเปลี่ยนอันใหม่ เนื่องจากประสิทธิภาพของการป้องกันเชื้อโรคจะลดลง

ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย

  • หาซื้อง่าย ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์ ถุงยางอนามัย มีแจกจ่ายตามโรงพยาบาลและที่สาธารณะทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงในการใช้คุมกำเนิดเหมือนการทานยาคุมกำเนิดของผู้หญิง
  • ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะน้ำอสุจิ เชื้อโรค หรือแบคทีเรียต่าง ๆ ไม่สามารถทะลุผ่าน ถุงยางอนามัย ได้ยกเว้น ถุงยางอนามัย ที่ผลิตมาจากลำไส้ของสัตว์เท่านั้น
  • สามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงมีประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่าฝ่าไฟแดงได้ (แต่ไม่แนะนำ)
  • ป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกให้แก่ฝ่ายหญิง
  • ราคาถูกและปลอดภัยกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นการสวมใส่ และใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ถึง 98%
  • มีหลายรูปทรง หลายกลิ่น หลายสี สามารถเพิ่มพูนความสุขระหว่างร่วมรักได้ง่าย

ข้อควรระวังในการใช้ถุงยางอนามัย

  • ระยะเวลาในการใช้งาน การใช้ 1 ชิ้นจะต้องใช้ไม่เกิน 30 นาที เพราะความสมบูรณ์ของตัวถุงยางอนามัยอาจจะเสื่อมสภาพลง และต้องใช้แล้วทิ้งเท่านั้น ห้ามนำกลับมาใช้ใหม่โดยเด็ดขาด
  • ระวังสารหล่อลื่น การใช้สารหล่อลื่นบางชนิดอาจมีผลกับตัวถุงยางอนามัย จึงควรหลีกเลี่ยงสารหล่อลื่นที่เป็นน้ำมันพืช น้ำมันแร่เป็นตัวละลาย เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาจนเกิดความเสียหายต่อถุงยางอนามัยได้
  • ภายหลังการใช้ถุงยางอนามัยไม่ควรสัมผัสถุงยางโดยตรง เพราะอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ที่ด้านนอกแล้ว
  • ถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว ควรนำไปเผา หรือทิ้งลงถังขยะในทันที
  • การเก็บรักษาให้พ้นจากความร้อน หรือแสงแดด และไม่ควรเก็บในที่ชื้น เช่น ในช่องเก็บของบนพาหนะเนื่องจากมีความร้อนสูง และไม่ควรเก็บในที่ถูกทับ หรือบีบรัด เช่น กระเป๋ากางเกง กระเป๋าเงิน เพราะอาจทำให้ถุงยางอนามัยเกิดการชำรุดได้ 
  • ด้วยราคาที่ไม่ได้แพง การป้องกันที่ง่าย และได้ผลดี เราจึงไม่ควรมองข้ามการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเอง และต่อผู้อื่น รวมถึงลดปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะถึงแม้ว่าเชื้อเอชไอวีอาจจะรักษาไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะป้องกันได้

ประโยชน์ของถุงยางอนามัย

  • คุมกำเนิด คือการป้องกันไม่ให้อสุจิเล็ดลอดเข้าไปในบริเวณช่องคลอดได้ ซึ่งการสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์จะช่วยให้มีโอกาสคุมกำเนิดได้มากขึ้น เมื่อมีการสวมถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี ดังนั้นควรสวมถุงยางตลอดเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ และสังเกตให้ดีก่อนว่าถุงยางอนามัยที่สวมอยู่นั้นรั่วหรือชำรุดหรือไม่
  • ป้องกันการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ นอกเหนือจากการป้องการการตั้งครรภ์แล้ว ถุงยางอนามัยยังช่วยลดโอกาสการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น โรคเอดส์ กามโรค หนองใน ซิฟิลิส เป็นต้น เพราะการรติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกันโดยตรงของสารคัดหลั่งและอวัยวะเพศ ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อโรคหรือเชื้อไวรัสได้ง่าย
  • ลดการบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยมีส่วนผสมของสารหล่อลื่นในปริมาณที่พอเหมาะ เมื่อใช้ขณะมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ลดโอกาสบาดเจ็บของอีกฝ่ายได้ ทั้งนี้ถุงยางอนามัยสามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นได้อีกด้วย
  • ช่วยเพิ่มอรรถรสทางเพศได้ ถุงยางอนามัยในปัจจุบันมีให้เลือกใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ ผิวขรุขระ มีสี มีกลิ่น ให้เลือกใช้งานได้ตามรสนิยมของผู้ใช้งาน จึงทำให้ช่วยเพิ่มอรรถรสในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ได้

วิธีเลือกไซซ์ถุงยางอนามัยฉบับมือใหม่ เลือกแบบไหนไม่ทำให้ท้อง

ควรวัดไซซ์ถุงยางอนามัย  ให้เหมาะสมกับขนาดอวัยวะเพศของตัวเอง เพราะถ้าหากเลือกขนาดเล็กหรือใหญ่เกินไป จะทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดหรือหลุดได้ง่าย ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดก็จะลดลง ถ้าทราบขนาดถุงยางอนามัยแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือ ฉลากบนกล่องบรรจุภัณฑ์ ให้ดูเครื่องหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และวันเดือนปีที่หมดอายุ แต่ถ้าหากมีแค่วันเดือนปีที่ผลิต ให้บวกเพิ่มไปอีก 5 ปี จะได้ช่วงเวลาหมดอายุแบบคร่าวๆ ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ชำรุดเสียหาย เพื่อให้ทราบว่าถุงยางอนามัยยังมีคุณภาพและพร้อมใช้งาน

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Search