บัตรทองปี 2563 เพิ่มยาเพร็พ (PrEP) ดูแลกลุ่มที่มีความเสี่ยงเอชไอวีสูงแล้ว

มีมติเห็นชอบการปรับปรุงรายการบริการในสิทธิประโยชน์การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis หรือ PrEP) กลุ่มเสี่ยงสูงทุกกลุ่ม

บอร์ด สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) เห็นชอบ กองทุนบัตรทอง ปี 2563 นำร่องสิทธิประโยชน์ “บริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ” หรือที่เรียกว่ายาเพร็พ (PrEP) ครอบคลุมกลุ่มที่มีเสี่ยงเอชไอวีสูงทุกกลุ่ม ในพื้นที่ๆ มีความพร้อม หลังการประเมินผลที่คุ้มค่า เพื่อหนุนแผนเอดส์ชาติ ลดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ต่ำกว่าพันรายต่อปี บรรลุเจตนารมณ์การยุติปัญหาเอดส์ปี 73

สปสช.

ข่าวจาก สปสช. แจ้งว่า นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบอร์ด สปสช. โดยมี ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน มีมติเห็นชอบการปรับปรุงรายการบริการในสิทธิประโยชน์การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis หรือ PrEP) กลุ่มเสี่ยงสูงทุกกลุ่ม ในพื้นที่มีความพร้อม ตามที่คณะอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตนำเสนอ

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า การบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัสเชื้อ หรือ PrEP เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันในกลุ่มประชากรเสี่ยงสูงที่มีประสิทธิผลสูง อาทิ ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย ชายบริการ หญิงข้ามเพศ หญิงบริการ ผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีด และคู่เพศสัมพันธ์ที่มีผลเลือดต่าง ด้วยการกินยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ ช่วยลดภาระงบประมาณด้านการรักษาผู้ป่วยเอชไอวีและโรคฉวยโอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ ปี 2558 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำ PrEP เป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้กับผู้มีความเสี่ยงสูง ควบคู่ไปกับการป้องกันที่มีอยู่เดิม ประเทศไทยได้ให้บริการ PrEP ผ่านโครงการนำร่องหรือดำเนินการเฉพาะบางพื้นที่โดยการสนับสนุนหลักจากหน่วยงานต่างประเทศ แต่ยังไม่ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงสูงทั้งหมด

ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้แสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 เพื่อเพิ่มการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอบรรจุบริการ PrEP

ยาเพร็พ (PrEP)

สิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปี 2560

ประกอบด้วยบริการ 2 ส่วน คือ

1. บริการยาต้านไวรัส 2 รายการ ประกอบด้วย ยาต้านไวรัสทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir Disoproxil Fumarate: TDF) และ ยาเอ็มตริไซตาบี (Emtricitabine: FCT) อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ (ก) ตั้งแต่ ปี 2561 เป็นตัวยาที่ต้องรับประทานวันละ 1 เม็ด ทุกวันอย่างสม่ำเสมอและตรงต่อเวลา ผลิตโดย GPO ราคาขวดละประมาณ 600 บาท บรรจุ 30 เม็ด ค่ายารวมประมาณ 7,200 บาทต่อปี

2. บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยมีการตรวจการติดเชื้อเอชไอวีทุก 3 เดือน ตรวจการทำงานของไต (Cr) ทุก 6 เดือน ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทุก 6 เดือน ตรวจไวรัสตับอักเสบบีและ ไวรัสตับอักเสบ ซี ปีละ 1 ครั้ง และตรวจการตั้งครรภ์ทุกครั้งที่สงสัยในเพศหญิง

ตรวจเอชไอวี

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ในการพิจารณาได้มอบโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ศึกษาการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ พบว่าบริการ PrEP มีคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ใน 2 กลุ่มเสี่ยง คือ ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายและคู่เพศสัมพันธ์ที่มีผลเลือดต่าง เมื่อประเมินความคุ้มค่าโดยพิจารณาร่วมกับเป้าหมายยุติปัญหาเอดส์ในปี 2573 การให้บริการ PrEP ในทุกกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีประมาณ 245,000 คน นับว่ามีความคุ้มค่า เพราะสามารถช่วยลดอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้ต่ำกว่า 1,000 รายต่อปีได้ แต่ทั้งนี้ต้องใช้งบประมาณ 405 ล้านบาทต่อปี

“บอร์ด สปสช.เห็นชอบนำร่องบริการ PrEP ในกลุ่มเสี่ยงสูงทุกกลุ่ม ในพื้นที่ที่มีความพร้อม โดยใช้งบประมาณกองทุนบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ปี 2563 และให้มีการวิจัยประเมินผลเพื่อติดตามความสำเร็จในการป้องกันผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาความเหมาะสมในการขยายผลทั่วประเทศต่อไป” เลขาธิการ สปสช. กล่าว

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลต่อพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้น เช่น การใช้ถุงยางอนามัยลดลง เปลี่ยนคู่นอนบ่อยขึ้น ไม่ระมัดระวังในเรื่องของความสะอาดพในการใช้เข็มและอุปกรณ์ เป็นต้น ที่ประชุมให้จัดสรรงบประมาณเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของการรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสนับสนุนให้มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างกว้างขวาง และการตรวจและรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาเพร็พ (PrEP) เพื่อประสิทธิภาพของบริการ PrEP มีประสิทธิภาพสูงสุด

ขอบคุณข่าวจาก: ประชาไท

Search