เรื่องผิวๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

เมื่อคุณได้รับเชื้อเอชไอวี ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะถูกทำลายลง และมีผลต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายของคุณ ผิวหนังก็เป็นหนึ่งในอวัยวะดังกล่าว ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อรูปลักษณ์ภายนอกของคุณ

เมื่อคุณได้รับเชื้อเอชไอวี ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะถูกทำลายลง และมีผลต่ออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายของคุณ ผิวหนังก็เป็นหนึ่งในอวัยวะดังกล่าว ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อรูปลักษณ์ภายนอกของคุณ คุณอยากรู้หรือไม่ว่า ปัญหาผิวจากเชื้อเอชไอวี มีอะไรบ้าง?

เอชไอวีส่งผลอย่างไรต่อผิวหนัง
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีมีให้เห็นอยู่ประมาณ 3 หัวข้อใหญ่ๆ ดังนี้
1. ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายลงโดยเชื้อเอชไอวี
2. ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อ
3. ผลข้างเคียงของยา
สภาพผิวหนังที่สัมพันธ์กับเชื้อเอชไอวี หรือจากผลข้างเคียงที่สัมพันธ์กับการรักษาบางประการ อาจมีความรุนแรงมาก และจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่เร่งด่วน หนึ่งในสิ่งบ่งชี้ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของเชื้อเอชไอวีสามารถมองเห็นได้ที่ผิวหนัง การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ลดลง ทำให้คุณมีความต้านทานได้น้อยลงต่อเชื้อไวรัส อย่างเช่นเฮอร์พีส์ (herpes) ไวรัส HPV ที่ทำให้เกิดแผลรอบปากหรืออวัยวะเพศ (เริม)

ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายโดยเชื้อเอชไอวี
ผู้ป่วยในระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาจมีอาการคล้ายเป็นไข้ ซึ่งเรียกว่าอาการ seroconversion illness อาการดังกล่าวอาจรวมถึงมีผื่นแดงไม่คัน ที่จะมีอาการอยู่ 2-3 สัปดาห์ ในระหว่างการติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายลง และอาจทำให้เกิดผื่นแดงและคัน ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังอาจเกิดขึ้น เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเริ่มฟื้นตัว จากการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี (โดยเฉพาะสิว และรากขนอักเสบ การติดเชื้อที่รากขน) และเป็นสัญญาณที่ดีของการกลับสู่ภาวะภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ

ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อ
โดยปกติแล้ว การติดเชื้อจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ การติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อรา และการติดเชื้อไวรัส

  • ภาวะผิวหนังอักเสบที่มักเรียกว่าผิวหนังแห้งหรือระคายเคือง เกิดจากสาเหตุหลายประการ และอาจรักษาได้ด้วยยาแก้แพ้ (antihistamines) เพื่อรักษาอาการผิวหนังแห้ง ให้พยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำเป็นเวลานาน และการใช้สบู่ เจลอาบน้ำ และสารระคายเคืองอื่นๆ อาจใช้ครีมน้ำ (E45) หรือครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้
  • อาการผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) ได้จากรอยแดงหรือผื่นขุย สาเหตุบางประการของอาการนี้มาจากการติดเชื้อรา อาการต่อมรากขนอักเสบ (Seborrhoeic dermatitis) มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีขน โดยปกติแล้วดูเหมือนรังแคสีเหลือง เป็นอาการติดเชื้อเอชไอวีที่พบได้ทั่วไป อาการผิวหนังอักเสบอาจรักษาได้ด้วยขี้ผึ้ง ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ครีมทาเชื้อรา หรือยาเม็ด นอกจากนี้ แชมพูรักษารังแคหรือเชื้อรา ยังสามารถช่วยรักษาปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะบางประการได้อีกด้วย
  • โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา (Tinea) เป็นการติดเชื้อราที่ทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดงเป็นขุย และรอยด่างขาว รักษาได้ด้วยยาทาเชื้อรา น้ำมันทีทรีแบบเจือจางสามารถใช้รักษาได้เช่นกัน พยายามให้ผิวหนังแห้งและหลีกเลี่ยงสารระคายเคือง ตัวอย่างเช่น สารดับกลิ่นกาย
  • อาการรากขนอักเสบ (Folliculitis) เป็นการติดเชื้อที่ผิวหนัง ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากยีสต์ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาทาเชื้อรา
  • ตุ่มพุพอง (Impetigo) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ซึ่งบ่งชี้ได้ด้วยแผลสีเหลือง หรือแผลมีขอบสีแดง ต่อมรากขน (Skin follicles) อาจติดเชื้อด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดฝีที่ผิวหนัง ซึ่งรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
  • สิวนูนขนาดเล็กอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ซิฟิลิส ไวรัสหูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum) หรือการติดเชื้อรา เช่น คริพโตค็อกโคซิส (cryptococcosis) โรคหูดข้าวสุก (Molluscums) สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วมาก และต้องเข้ารับการรักษาที่คลินิกเฉพาะทางสำหรับการติดเชื้อเอชไอวี

ขอบคุณข้อมูลจาก: Hello คุณหมอ

Search