Site icon แผนที่ตรวจเอชไอวี

ไวรัสตับอักเสบซี..โรคร้ายที่ไม่แสดงอาการ

ไวรัสตับอักเสบซี เมื่อเข้าไปในร่างกาย อาการจะไม่รุนแรง ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่าตนเองเริ่มมีอาการตับอักเสบ จะทราบก็ต่อเมื่อไปตรวจร่างกายแล้วพบค่าการอักเสบของตับผิดปกติ และตรวจเลือดพบการติดเชื้อ ถ้าปล่อยไว้จะเข้าสู่ระยะตับแข็ง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร ?

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) คือ เป็นโรคที่เกิดการอักเสบของตับ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ทางการให้นมบุตร การจามหรือไอรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน ส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จะไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคนี้เพราะว่าไม่มีอาการแสดงชัดเจน ซึ่งจะพบว่ามีอาการแสดงแล้วก็ต่อเมื่อตับได้รับความเสียหายมากแล้ว

อาการไวรัสตับอักเสบซี

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี จะไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคนี้เพราะว่าไม่มีอาการแสดงชัดเจน ซึ่งจะพบว่ามีอาการแสดงแล้วก็ต่อเมื่อตับได้รับความเสียหายมากแล้วนั่นเอง

ไวรัสตับอักเสบซี ระยะเฉียบพลัน มีอาการดังต่อไปนี้

  • มีไข้หรืออุณหภูมิในร่างกายสูงถึง 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า
  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบาย
  • ไม่อยากอาหาร หรือเบื่ออาหาร
  • ปวดช่องท้อง
  • ผู้ป่วยในบางรายอาจมีอาการตัวเหลืองและตาเหลือง

ไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเรื้อรัง มีดังต่อไปนี้

  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
  • มีอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ
  • รู้สึกป่วย ไม่สบาย เป็นไข้
  • มีปัญหาเกี่ยวกับความจำในระยะสั้น สมาธิ และความคิดไม่แจ่มใส
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
  • อาการอาหารไม่ย่อย หรือท้องอืด
  • น้ำหนักลด
  • ปวดช่องท้อง
  • ปัสสาวะมีสีเข้ม
  • ผื่นคันตามผิวหนัง
  • เลือดออกง่ายและเกิดรอยช้ำ
  • มีการบวมที่ขา

***ไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเรื้อรัง จะไม่แสดงอาการจนกว่าตับจะถูกทำลายอย่างรุนแรงแล้วอาการจึงจะปรากฏ ส่วนมากจะปรากฏหลังจากที่ได้รับการติดเชื้อไปแล้วประมาณ 10 ปี***

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซี

เบื้องต้นแพทย์จะทำการ ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ หากตรวจพบเชื้อแพทย์ก็จะส่งตรวจทำอัลตราซาวนด์ตับเพื่อดูว่ามีร่องรอยของตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่ ในกรณีที่ผลของอัลตราซาวนด์ยังไม่ชัดเจน แพทย์ก็จะส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพิ่มเติม สำหรับในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจชิ้นเนื้อตับโดยใช้เข็มขนาดเล็กเข้าไปตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อตับมาตรวจดูทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นการตรวจวิเคราะห์โรคที่แม่นยำอีกวิธีหนึ่งก่อนจะทำการรักษา

ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบซี

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี อย่างต่อเนื่องนานหลายปี หรือป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบซี สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบซีได้ เช่น

  • ตับแข็ง (Cirrhosis) มักเกิดหลังจากที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี มาแล้ว 20-30 ปี โดยตับจะเกิดการอักเสบและถูกทำลายจนทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ
  • มะเร็งตับ (Liver Cancer) มีผู้ป่วยจำนวนไม่มากที่มีการอักเสบของตับที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ ซี แล้วจะพัฒนาเป็นมะเร็งตับ แต่ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็มีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้
  • ตับวาย (Liver Failure) หากเป็นตับแข็งที่มีความรุนแรงมากแล้วอาจทำให้ตับหยุดการทำงานได้

วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • สวมถุงมือทุกครั้งเมื่อต้องสัมผัสเลือด
  • ไม่ใช้มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟันร่วมกัน
  • ไม่ใช้อุปกรณ์ในการสักร่วมกัน
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

แพทย์จะพิจารณาตามภาวะของโรคและโรคร่วมต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็น โดยโรคนี้สามารถรักษาให้หายได้โดยการ รับประทานยาร่วมกับยาฉีด สามารถกำจัดเชื้อให้หายขาดอย่างถาวร โดยประเมินจากจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดหลังการรักษา ซึ่งจะช่วยให้อาการตับอักเสบดีขึ้นและหายไป ป้องกันไม่ให้เกิดตับแข็งและมะเร็งตับ

ขอบคุณข้อมูล : samitivejhospitals, bumrungrad, pobpad

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

Exit mobile version